ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทางทีมงาน onlinegame-news ได้มีโอกาสร่วมงานทดสอบเกม Dragon’s Dogma 2 ที่ประเทศสิงคโปร์มาครับ โดยเกมนี้มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 22 มีนาคมที่จะถึงนี้แล้ว ซึ่ง Dragon’s Dogma ถือเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ของ Capcom ที่ห่างหายไปนานมาก และภาค 1 กับภาค 2 ก็เว้นช่วงห่างกันนานถึง 12 ปีเลยทีเดียว ทว่าการกลับมาในครั้งนี้จะสมกับการรอคอยกว่าทศวรรษหรือไม่ ในฐานะที่ทีมงานไปลองเล่นกับมือก็ขอเล่าสู่กันฟังกันสักหน่อยครับ
สำหรับโครงสร้างของเกม Dragon’s Dogma 2 นั้นเป็นแนว Action-RPG มุมมองบุคคลที่ 3 เหมือนภาคแรกครับ โดยเรายังคงได้บังคับตัวละครเป็น “อริเซน (Arisen)” ฮีโร่ผู้ถูกลิขิตชะตาให้ต้องไปปราบมังกร พร้อมด้วยเหล่า “พอว์น (Pawn)” สหายร่วมเดินทางในปาร์ตี้ที่เราไม่สามารถบังคับได้ ซึ่งพอว์นทุกตัวจะถูกบังคับด้วย AI ทั้งสิ้น และพอว์นจะคอยช่วยเหลือเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นขณะสำรวจหรือในฉากต่อสู้ ขณะที่ตัวเราในฐานะผู้นำปาร์ตี้ต้องคอยเพิ่มระดับความสัมพันธ์กับบรรดาพอว์นของเรา หากเราพัฒนาค่าดังกล่าวจนสูง ก็จะส่งผลให้พอว์นมีลูกเล่นในการช่วยเหลือเราที่หลากหลายขึ้นด้วย
ถึงตรงนี้ เราขออธิบายแบบเห็นภาพง่าย ๆ แก่เพื่อน ๆ ที่ไม่เคยเล่นเกมภาคแรกก่อนครับ คือในกรณีที่เป็นช่วงสำรวจหรือเดินทางไปทำเควสต์ต่าง ๆ พอว์นของเราจะพยายามบอกใบ้สิ่งที่เราต้องทำแบบเป็นนัย ๆ ซึ่งจะไม่บอกกันโต้ง ๆ ว่าผู้เล่นต้องไปทำ 1-2-3-4 หรือมาร์คจุดที่ต้องไปบนแผนที่ ราวกับจูงมือผู้เล่นไปทำเควสต์เหมือนเกมโอเพ่นเวิลด์ทั่วไปอะไรแบบนั้น เพราะเกมนี้เวลาเรารับเควสต์มาปุ๊บ เกมจะบอกเพียงแค่ว่าเป้าหมายของเควสต์คืออะไร จากนั้นก็ลอยแพให้ผู้เล่นงมกันเอาเองเลยว่าต้องทำอย่างไรต่อไป โดยพอว์นจะช่วยเราในเชิงพูดแนะนำว่าเราควรสอบถามเบาะแสจากชาวเมืองดูมั้ย หรือบอกว่าท่าทางของ NPC ตัวนี้น่าสงสัยนะ ฯลฯ
ขณะเดียวกัน เวลาที่เราต่อสู้กับศัตรูตามทาง หากการต่อสู้เริ่มยืดเยื้อ พอว์นจะช่วยแนะนำเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับศัตรูตัวนั้น ๆ เช่น เผยจุดอ่อนของศัตรู หรือให้สังเกตพฤติกรรมของศัตรู แล้วดักโจมตีตอนที่มันเผยจุดอ่อน เป็นต้น โดยเราต้องหมั่นฟังคำพูดหรือสังเกตข้อความในบทสนทนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งค่อนข้างจำเป็นมากที่ผู้เล่นควรมีทักษะภาษาอังกฤษระดับหนึ่งครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น AI ของพวกพอว์นจะฉลาดพอตัว ตัวที่เป็นสายทำดาเมจจะเน้นโจมตีจุดอ่อนหรือใช้ธาตุที่ศัตรูแพ้ทางเป็นหลัก ส่วนตัวที่เป็นสายซัพพอร์ตจะคอยฮีลและบัฟคนอื่น ๆ ในปาร์ตี้ไม่ขาด ถ้าผู้เล่นสั่งการดี ๆ พวกพอว์นจะช่วยพลิกสถานการณ์ให้เรากุมความได้เปรียบในพริบตาเลย
ระบบอาชีพของเกมซีรีส์นี้จะเรียกว่า “โวเคชั่น (Vocation)” และแน่นอนครับว่าแต่ละอาชีพจะมีอบิลิตี้กับอาวุธชุดป้องกันที่สวมใส่ได้แตกต่างกัน ตลอดจนความสามารถที่เชี่ยวชาญและจุดอ่อนที่ต้องพึงระวัง โดยผู้เล่นสามารถเปลี่ยนอาชีพได้ทั้งตัวอริเซ่นและพอว์น หลายอาชีพที่เคยมีให้ใช้ในภาคแรกก็ยังคงมีให้ใช้ในภาคสองเช่นเคย ขณะที่บางอาชีพมีการเปลี่ยนชื่อเรียกไปบ้าง อย่างเช่น Strider ก็เปลี่ยนเป็น Thief หรือ Ranger ก็เปลี่ยนมาเป็น Archer เพื่อให้ผู้เล่นเข้าใจภาพลักษณ์ของสองอาชีพนี้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังมีอาชีพสายไฮบริดที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่าง Mystic Spearhand ซึ่งนำอาชีพ Mystic Knight ของเกมภาคแรกมาปรับให้ถืออาวุธจำพวกไม้เท้าติดคมหอก หรืออาชีพ Trickster ที่ทำได้ทั้งดีบัฟก่อกวนศัตรู แถมพ่วงสกิลบัฟคนในปาร์ตี้เราได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถฝึกฝนแต่ละอาชีพเพื่อปลดล็อคอบิลิตี้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการต่อสู้ครับ
การผจญภัยในเกม Dragon’s Dogma 2 จะเป็นแบบโอเพ่นเวิลด์ที่มีสเกลแผนที่ใหญ่กว่าภาคแรกถึงประมาณ 4 เท่า แถมพิเศษกว่านั้นคือโลกในเกมภาค 2 จะเป็นโลกคู่ขนานกับเกมภาคแรก อีกทั้งแบ่งโลกในเกมออกเป็นอาณาเขตของ 2 แคว้น ได้แก่ อาณาจักรเวอร์มุนด์ (Vermund) กับ อาณาจักรแบตทาห์ล (Battahl) ที่มีความขัดแย้งและกำลังรบรากันอยู่ ที่น่าสังเกตก็คือระบบ Fast Travel ของเกมนี้จะมีเพียงสองวิธีคือการใช้หิน Ferrystone หรือโดยสารรถ Oxcart ตามเมืองต่าง ๆ เท่านั้น แถมการใช้หิน Ferrystone นี้ใครที่เคยเล่นภาคแรกมาก่อนคงพอทราบความยุ่งยากของมันอย่างดี ที่ต้องนำหินไปวางตามจุดที่ต้องการ Fast Travel ด้วยตัวเองเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถเดินทางวาร์ปไปมาตามจุดที่มีหิน Ferrystone ของเราอยู่เท่านั้น
ช่วงที่เราผจญภัย เกมยังมีระบบที่สุ่มเกิดเหตุการณ์ยิบย่อยขึ้นมาเซอร์ไพรส์ผู้เล่นอยู่เป็นระยะ บางครั้งอาจจะเกิดในเมือง บ้างก็อาจเกิดตอนผจญภัยในโลกกว้าง และยังมีระบบกลางวันกลางคืนที่ส่งผลกระทบกับศัตรู โดยศัตรูบางชนิดจะปรากฏตัวให้เห็นเฉพาะเวลากลางวัน หรือบางจำพวกจะเก่งและมีลูกเล่นแพรวพราวมากขึ้นเมื่อสู้ในยามราตรี ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิประเทศก็มีส่วนกับชนิดของศัตรูที่จะปรากฏตัวด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกมมีความสมจริงขึ้น เสมือนเราได้ออกไปผจญภัยเองยังไงยังงั้น
จากที่ได้ทดลองเล่นมาหลายชั่วโมง เกมนี้จะไม่มีโหมดการแสดงผลให้ปรับครับ คือเน้นที่ความละเอียดและคมชัดสูง กราฟิกกับเท็กซ์เจอร์ดูสวยงามตามคุณภาพของ RE Engine ที่ทาง Capcom คุ้นเคยมาอย่างดีกับการพัฒนาเกมซีรีส์อื่น ๆ ภายในค่าย ทว่ากรณีของเฟรมเรตนั้นอาจจะมีร่วงอยู่บ้างถ้าเป็นช่วงชุลมุนกับศัตรู หรือมีวัตถุปรากฏบนจอภาพเยอะ ๆ ซึ่งประเด็นนี้ต้องลุ้นกันว่าทีมงานจะมีการปรับแก้เป็นแพตช์ตามมาหรือไม่อีกที
ด้วยความที่ระบบการดำเนินเควสต์และระบบการเดินทางในเกมเป็นไปตามที่กล่าวมาข้างต้น ต้องบอกตามตรงเลยครับว่าตัวเกมพยายามเข้าหาผู้เล่นที่เคยผ่านเกมภาคแรกมาก่อนเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เพราะโครงสร้างเกมโดยรวมค่อนข้างมีความเฉพาะทางสูง ผู้เล่นหน้าใหม่ที่อยากจะเข้ามาทำความรู้จักกับเกมซีรีส์นี้ หากกระโดดมาเล่นภาค 2 เลยอาจมีเหวอกับบางระบบที่ยังอนุรักษ์และยึดโยงของเดิมอยู่ จึงเป็นจุดวัดใจกันตั้งแต่เกมเพลย์ช่วงแรกของเกมเลยว่าตัวคุณเหมาะกับเกมแนวนี้ และตัวตนของเกมซีรีส์นี้หรือไม่ ไว้วันที่ 22 มีนาคมนี้เตรียมร่วมผจญภัยกับอริเซ่นและเหล่าพอว์นกันได้ทั้งบนแพลตฟอร์ม PS5, Xbox Series X|S และ PC ครับ